ลุ้นครม. ‘บิ๊กตู่’นัดสุดท้าย ทิ้งทวนมาตรการเศรษฐกิจ

ถูลู่ถูกังกันมาตลอด แต่ในที่สุด บิ๊กตู่ พล.. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็นำนาวารัฐบาลอยู่ครบเทอมเป็นผลสำเร็จ แม้จะอยู่ไม่ครบ 4 ปีเต็มแบบเป๊ะ ๆ แต่ก็เป็นแค่เหตุผลทางเทคนิคที่ต้องรีบชิงยุบสภา ก่อนครบวาระ เพื่อหลบเลี่ยงปัญหาเรื่องการคำนวณงบประมาณในการหาเสียงเลือกตั้งที่จะตามมาเท่านั้น

ถึงวันนี้ ตามไทม์ไลน์ก็เหลือเวลาไม่ถึง 10 วัน ที่คาดว่าบิ๊กตู่จะประกาศยุบสภาเป็นทางการ ทำให้การประชุมใน ครม.นี้ ถือเป็นโค้งสุดท้ายของการบริหารประเทศรอบนี้ ซึ่งเป็นที่น่าจับตายิ่งนักว่า รัฐบาลจะมีมติอะไรออกมาทิ้งทวนบ้าง โดยเฉพาะในส่วนมาตรการทางด้านเศรษฐกิจ ที่แม้สัปดาห์ที่ผ่านมาจะไฟเขียวมาตรการออกมาชุดใหญ่ ทั้งเรื่องสารพัดภาษี จากกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต หรือกรมศุลกากร แต่ทว่าก็ยังมีอีกหลายเรื่องร้อนที่ค้างคารอให้รัฐบาลเคาะตัดสินใจอยู่อีก

ลุ้นสลากแอล 6 เอ็น 3

เริ่มจาก กระทรวงการคลัง ที่เรื่องใหญ่สุดคงหนี ไม่พ้นเรื่องใกล้ตัวเกี่ยวกับหวย หลังเมื่อสัปดาห์ก่อนมีข่าวแพลมออกมาแล้วว่าจะเข้า ครม. แต่สุดท้ายก็เลื่อนในนาทีสุดท้าย ทำให้ในการประชุม ครม. 14 มี.ค.นี้ คาดกันว่า คลังจะชงวาระเข้าที่ประชุมแน่นอน ในการให้อำนาจสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สามารถออกผลิตภัณฑ์สลากใหม่ ลอตเตอรี่ 6 หรือแอล 6 และสลากเลข 3 หลัก หรือเอ็น 3 ได้ หลังจากที่ผ่านมาสำนักงานสลากฯ ทำการศึกษาและเปิดรับฟังความคิดเห็นเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว

เพราะจะว่าไปเรื่องของหวย ของการเสี่ยงโชค ถือเป็นผลงานรัฐบาลบิ๊กตู่ ที่มีให้เห็นค่อนข้างชัดเจน เมื่อเทียบกับรัฐบาลอื่น เริ่มจากเข้ามาสั่งล้างบางตัวแทนจำหน่าย 5 เสือนอนกิน เพื่อกระจายให้รายย่อยได้เข้าซื้อแทน แถมต่อมายังแก้ไข พ.ร.บ.สำนัก งานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้ทันสมัยขึ้น ทั้งการเพิ่มโทษคนขายเกินราคา รวมถึงการเปิดช่องให้สำนักงานสลากฯ สามารถออกผลิตภัณฑ์สลากชนิดใหม่ได้ จากเดิมที่พิมพ์ขายได้แค่ลอตเตอรี่ใบ

ดังนั้น ในการประชุมครั้งนี้ จึงเป็นที่จับตาว่ารัฐบาลจะเดินหน้าเรื่องหวยแบบสุดซอยหรือไม่ หากไม่เคาะ หรือไม่ตัดสินใจในครั้งนี้ ก็เท่ากับว่า… สิ่งที่รัฐบาลพยายามมาตลอดช่วง 4-5 ปีแทบจะสูญเปล่า เนื่องจากหลังเลือกตั้งได้รัฐบาลชุดใหม่ ก็เชื่อได้ว่าอาจมีการรื้อ เขย่าระบบสลากใหม่อีกรอบแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา กองสลากฯ ก็ถือเป็นขุมทรัพย์ทางการเมือง ที่ทุกรัฐบาลหมายปองจะเข้ามาควบคุม ใช้เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น

ส่วนรูปแบบผลิตภัณฑ์สลากใหม่ที่หลายคนสงสัย ในส่วนแอล 6 จะมีความคล้ายกับลอตเตอรี่ในปัจจุบัน แต่ต่างกันตรงที่ไม่ต้องพิมพ์เป็นใบ เน้นขายผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นหลัก โดยขายใบ 80 บาท วิธีจำหน่าย การออกรางวัล จำนวนเงินรางวัล เหมือนลอตเตอรี่ใบทุกอย่าง โดยรางวัลที่ 1 ได้ 6 ล้านบาท ซึ่งข้อดีของการทำแอล 6 จะช่วยให้สำนักงานสลากฯ เพิ่มปริมาณสลากดิจิทัลได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องไปเบียดบังโควตาสลากใบเหมือนก่อน โดยเฉพาะในปีนี้จะช่วยให้สลากดิจิทัลเพิ่มเป็น 30 ล้านใบ ได้ตามเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

ขณะที่ผลิตภัณฑ์ประเภทสลากเลข 3 หลัก ซึ่งถือเป็นอีกสลากรูปแบบใหม่ มีวิธีการเล่นให้เลือกหมายเลขตั้งแต่ 000 ถึง 999 จำนวน 1 หมายเลขต่อการเลือกซื้อสลาก 1 รายการ แต่ละงวดมี 4 รางวัล ได้แก่ รางวัลสามตรง ตรงเลข-ตรงหลัก หรือเต็ง รางวัลสามสลับหลัก ตรงเลข-สลับหลัก หรือโต๊ด และรางวัลสองตรง ตรงเลข-ตรงหลัก และรางวัลพิเศษ รวมถึงมีรางวัลแจ๊กพอต ซึ่งหากงวดไหนไม่มีคนถูก จะมีการสะสมเงินรางวัลจากงวดก่อนได้ 1 งวด โดยออกรางวัลเดือนละ 2 ครั้ง ทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน

หนี้เกษตรกร 1.5 หมื่น ล.

นอกจากเรื่องหวยแล้ว ยังต้องจับตาดูการสะสาง ปัญหาหนี้เกษตรกรที่ค้างกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. วงเงินกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากเกษตรกรเข้ามาก่อม็อบกดดันอย่างหนักหน้ากระทรวงการคลัง จะต้องวัดใจรัฐบาลบิ๊กตู่ จะยอมโอนอ่อนผ่อนตามเพื่อซื้อใจฐานเสียงใหญ่รากหญ้าหรือไม่ แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องแลกมาด้วยการทำลายวินัยการเงินอย่างรุนแรง หลังจากที่ผ่านมายอมทั้งพัก ทั้งลดหนี้มาให้ตลอดจนเคยตัว ทำให้ ธ.ก.ส.หนี้เสียแดงเถือกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ แถมยังทำให้คนที่ผ่อนดีอยากจะล้มบนฟูก เลิกผ่อนไปเป็นหนี้เสียแทนกันเลยทีเดียว

ท่องเที่ยววาระแห่งชาติ

ข้ามฟากมา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ตอนนี้ดูจะเนื้อหอมเป็นอัศวินขี่ม้าขาวคอยประคองเศรษฐกิจประเทศอยู่ ซึ่ง พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประกาศเป็นมั่นเป็นเหมาะไปแล้ว ในการประชุม ครม. 14 มี.ค.นี้ จะขอเสนอวาระแห่งชาติเรื่องฟื้นประเทศด้วยท่องเที่ยว ระยะ 5 ปี ปี 66-70 เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและยั่งยืน พร้อมกับตั้งเป้าหมายเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ถึง 60 ล้านคน และสร้างรายได้เข้าประเทศปีละ 6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของจีดีพี ภายในปี 70

สำหรับวาระแห่งชาติเรื่องฟื้นประเทศด้วยท่องเที่ยว นอกจากเสนอ ครม. แล้ว ยังถูกใส่เป็นนโยบายสำคัญของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งประกอบด้วย 3 แนวทาง ได้แก่ 1. พร้อมรับ 2. พัฒนา และ 3. พลิกโฉมประเทศไทย โดยในส่วนการพร้อมรับ เริ่มปี 2566-2567 จะเข้าไปเตรียมพร้อมเรื่องความสะอาด ปลอดภัย เป็นธรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยชูเรื่องความพร้อมของคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี ประเพณีที่สวยงามสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยว 2. การพัฒนา เริ่มปี 2566-2568 จะเน้นการพัฒนาท่องเที่ยว และต่อยอดนำ
กระทวงวัฒนธรรมและกระทรวงมหาดไทย มาเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในชุมชนทั่วทุกภูมิภาค และ 3. การพลิกโฉม เริ่มปี 2566-2570 ก้าวสู่การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกในปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลจะเดินหน้าสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ต่ำ เช่น ที่จังหวัดพังงา จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ปราศจากคาร์บอน 100% ในปี 68 จังหวัดกระบี่ ชูน้ำพุร้อนน้ำเค็มที่ดีที่สุดในโลก และผลักดันจังหวัดภูเก็ต เป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมระดับโลก เอกซโป 2028 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการดูแลสุขภาพของภูมิภาค

เก็บตกมาตรการอีวี

ในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือบอร์ดอีวี ที่มี นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เป็นประธาน เตรียมเสนอบอร์ดอีวีชง ครม.อนุมัติมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 3 (อีวี) ระยะที่ 2 ซึ่งจะมีการเสนอมาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติม ทั้งการขยายเวลา ปรับปรุงเงื่อนไข ปรับเงินสนับสนุนเพื่อผลักดันการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกหรือศูนย์กลางของภูมิภาค ขณะเดียวกันมาตรการใหม่ก็มีเงื่อนไขการสนับสนุนลดลง เช่น กรณีที่ใช้แบตเตอรี่จาก 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง จะได้รับเงินอุดหนุน 1.5 แสนบาท อาจได้รับเงินอุดหนุนน้อยลง ขณะเดียวกันอาจปรับเกณฑ์สนับสนุนขนาดของแบตเตอรี่ จาก 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง อาจเป็น 50 กิโลวัตต์ชั่วโมงหรือมากกว่านี้ และเงินอุดหนุนอาจน้อยกว่า 1.5 แสนบาท ก็เป็นไปได้ เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการเร่งเข้าร่วมมาตรการอีวี 3 ให้เร็วขึ้น

ชงเก้าอี้ผู้ว่าการ กฟผ.

ที่ร้อนแรงสุดต้องจับตา หนีไม่พ้นการเสนอชื่อ “เทพรัตน์ เทพพิทักษ์” รองผู้ว่าการประจำสำนักผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. เป็นผู้ว่าการกฟผ. คนใหม่ คนที่ 16 แทนนายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. คนปัจจุบันที่จะครบวาระในวันที่ 21 ส.ค. 66 ท่ามกลางกระแสข่าวการล็อกตำแหน่งให้กับรองผู้ว่าการ กฟผ.บางราย ที่ทำให้มีการวิพาษ์วิจารณ์กันอย่างหนักหน่วงคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

จึงทำให้เป็นที่จับตาว่า “สุพัฒนพงษ์” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน จะเสนอรายชื่อผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่เข้า ครม.ทันก่อนที่จะยุบสภาหรือไม่ หรือต้องยื้อต่อไป เพราะไม่เช่นนั้นอาจต้องรอไปอีกนานจนกว่ามีรัฐบาลใหม่ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า จะมีการเสนอชื่อเดิมอีกหรือเปล่า นอกจากนี้ยังมีมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) เพื่อช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งต้องของบประมาณมาช่วยเหลือ

นอกจากนี้…ในเรื่องของการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นปีการผลิต 65/66 ก็ยังเป็นที่จับจ้องกันอยู่เช่นกันว่าจะเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบเลยหรือไม่ โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งเป้าหมายในระดับราคาที่ตันละ 1,080 บาท ที่ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซีเอส อัตราขึ้นลงอยู่ที่ 6.80 บาทต่อ ซี.ซีเอส

สางปมคาราคาซัง 5 จี

โครงการที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส โดย บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ ต้องการเสนอให้ ครม.เห็นชอบก่อนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะหมดวาระในเดือน มี.ค. 66 นี้  คือการพัฒนา 5 จี บนคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิรตซ์ เพื่อให้บริการโทรศัพท์มือถือ 4 จี และ 5 จี โดยโครงการนี้ล่าช้ามากว่า 2 ปี หลังจากประมูลคลื่นความถี่ ได้จาก กสทช.และมีต้นทุนจากค่าใบอนุญาตที่ต้องจ่ายไปแล้ว 6,600 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถทำ 5 จี เพื่อหารายได้กลับมาได้  โดยก่อนหน้านี้ ครม. ได้เห็นชอบโครงการบริการ 5 จี สำหรับลูกค้าองค์กรของเอ็นที รวมเป็นวงเงินตลอดโครงการระยะเวลา 14 ปี  จำนวน 6,705.6 ล้านบาท ไปแล้วคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

หาก ครม.เห็นชอบ โครงการพัฒนา 5 จี บนคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิรตซ์แล้ว จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยมีคลื่นอยู่ 10 เมกะเฮิรตซ์ จะดำเนินการเองจำนวน 5 เมกะเฮิรตซ์ และอีก 5 เมกะเฮิรตซ์ จะขายให้เอไอเอส และมีการแชร์ริ่งสถานีฐานร่วมกันเพื่อลดการลงทุนในด้านต่าง ๆ โดยผลการศึกษาโครงการนี้จะมีผลตอบแทนประมาณ 7-8% ต่อปี สามารถรองรับลูกค้าได้สูงสุดจำนวน 4 ล้านราย จากปัจจุบันที่มีฐานลูกค้าโทรศัพท์มือถืออยู่ประมาณ 2.3 ล้านราย

ใจจดใจจ่อภาษีขายหุ้น

ทิ้งท้ายกันที่วงการตลาดหุ้น แม้ที่ผ่านมาบรรดานักลงทุน หรือแมงเม่าพอจะเป่าปากโล่งใจได้บ้าง หลังเสียงสวรรค์จากทำเนียบรัฐบาล สั่งให้กระทรวงการคลังชะลอเก็บภาษีขายหุ้นไปก่อน เพราะกลัวจะกระทบฐานเสียงการเมืองช่วงเลือกตั้ง แต่ก็ยอมรับว่า คงประมาทไม่ได้ เพราะในส่วนของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ก็บอกแค่ว่าจะนำข้อเสนอของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ที่คัดค้านการจัดเก็บภาษีหุ้น ไปทบทวนให้ดีก่อน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะล้มพับแผนเก็บภาษีไปเลย

สำหรับแนวคิดการจัดเก็บภาษีขายภาษีหุ้นนั้น เกิดขึ้นช่วงปลายเดือน พ.. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบหลักการของ ครม. ไปแล้ว โดยกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีในอัตรา 0.11% ของมูลค่าการขายหุ้น แบ่งการจัดเก็บเป็น 2 ช่วง ปีแรกจะเก็บในอัตราครึ่งหนึ่ง หรือ 0.055% เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และช่วยให้นักลงทุนปรับตัว ส่วนปีถัดไปจะจัดเก็บเต็มอัตรา 0.11% เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางภาษี และช่วยเพิ่มรายได้เข้ารัฐอีกปีละ 16,000-18,000 ล้านบาท หลังยกเว้นการจัดเก็บภาษีขายหุ้นมานานกว่า 30 ปี

ดังนั้นจึงต้องดูว่า ท้ายสุดแล้วรัฐบาลจะเอายังไง เพราะหากปล่อยผ่านไปจริง ๆ ก็ถือว่าเสียหน้าไม่น้อย หลังจากเคยประกาศหนักแน่นว่าจะต้องเริ่มทำเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในกลุ่มคนรวยเล่นหุ้น

จะเห็นได้ว่าแค่เรื่องเศรษฐกิจเพียงเรื่องเดียว ยังมีวาระใหญ่รอ ครม.บิ๊กตู่ เคาะกันอีกมากมายขนาดนี้ ยังไม่นับรวมโครงการอื่นที่ยังค้าง คาราคาซังอีกมากมาย เช่น วาระร้อนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในการประชุม ครม.นัดสุดท้ายนี้ จะประชุมเสร็จกันกี่โมงกี่ยาม หรือมีบิ๊กเซอร์ไพร้ส์ออกมาให้ได้ฮือฮากันหรือไม่?

…ทีมเศรษฐกิจ…

You May Also Like

More From Author